วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

อเมริกัน ค็อกเกอร์





ลักษณะท่าทางโดยทั่วไป เป็นสุนัขขนาดกลาง มีอุปนิสัยร่าเริง แจ่มใสตลอดเวลา

มาตราฐานสายพันธุ์
ศีรษะ : กะโหลกกว้างเล็กน้อย มีความสมส่วนกับขากรรไกร
ขากรรไกร : มีความสมส่วนกับกะโหลกจากกะโหลกมาถึงขากรรไกร มีจุดตก (STOP) อย่างเห็นได้
ฟัน : เรียงกันเป็นระเบียบ ขบกันแบบขากรรไกร ขาว และไม่เล็กจนเกินไป
จมูก : มีความสมดุลกับขากรรไกร แต่จะต้องมีสีดำ
ตา : ตากลม ดวงตามีสีน้ำตาลเข้ม มีแววตาสดใส
หู : หูยาวและกลม ตำแหน่งของหูอยู่ระดับเดียวกับตา ความยาวของหูต้องถึงปลายจมูก มีขนขึ้นปกคลุม
คอและไหล่ : คอมีความยาวสมส่วนกับลำตัว และคอต้องตั้ง ยามเคลื่อนไหวเส้นหลังลาดลงมาจากหัวไหล่
ลำตัว : มีความกระชับ
หาง : ตำแหน่งของหางอยู่เหนือบั้นท้าย และตัดออกให้สมส่วน และชี้ไปทางด้านหลัง
ขาและเท้า : มีขนขึ้นปกคลุมที่ขาและเท้า ขาตรง นิ้วเท้ากำแน่น มีความแข็งแรง
ขน : ขนที่หัวและหลังจะสั้นเรียบ มีความสะอาดเป็นเงางาม บ่งบอกถึงสุขภาพที่ดี
การเคลื่อนไหว : ขาทั้ง 4 สัมพันธ์กัน มีความสมดุลและสง่างาม
ขนาด : ความสูงวัดจากขาถึงหัวไหล่ สุนัขเพศผู้ สูง 15 นิ้ว , สุนัขเพศเมีย สูง 14 นิ้ว

อาฟกันฮาวด์




ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่งและลักษณะของขนที่ยาวสลวยจึงทำให้สุนัขพันธุ์นี้เป็นสุนัขที่สง่างาม ดูแล้วเป็นสุนัขที่มีความคลาสสิกในตัวมากเมื่อมองจากด้านหน้าจะดูตรงหัวเชิด ตรง คอยาวโค้ง ได้สัดส่วน ขนยาว ท่วงท่าในการเคลื่อนไหวจะต้องสง่างาม ให้สมกับที่ฝรั่งเขาตั้งให้ว่าเป็น THE KING OF DOG
มาตราฐานสายพันธุ์
อุปนิสัย : เป็นสุนัขที่เรียบร้อย สำอาง แต่ตอน อายุระหว่าง 2-12 เดือน จะซนมาก
ศีรษะ : โหนกยาวได้สัดส่วน บ่งบอกถึงความสมดุลกับลำตัว หน้าผากและใบหน้าเรียบไม่ควรมีสต๊อป สันจมูกเรียบ หรืออาจจะโก่งเล็กน้อย ขนตรงส่วนหัวจะต้องยาวนุ่มสลวย แต่ขนที่ใบหน้าต้องสั้นเกรียน ลูกสุนัขบางตัวจะมีหนวด แต่จะหลุดออกเมื่อโตขึ้น
หู : ยาว ต้องอยู่ในแนวเดียวกับตา เนื้อปลายหูจะต้องยาว เวลาวัดจะต้องยาวถึงจมูก อย่างน้อยที่สุด ปกคลุมด้วยขนยาว
ตา : ยาวคล้ายผลอัลมอนด์ ดวงตาสีดำหรือสีคล้ำใสไม่ฝ้าฟาง
จมูก : โตพอสมควรและต้องเป็นสีดำ
คอ : ยาว แข็งแรง โค้งมนได้สัดส่วน จนถึงหัวไหล่ ซึ่งยาวโค้งและลู่ไปข้างหลัง
ลำตัว : เส้นตรงในระดับหัวไหล่ถึงสะโพกแข็งแรงและมีกระดูกสะโพกโผล่ เล็กน้อย สีข้างเรียบ ความสูงจากพื้นถึงหัวไหล่เท่ากับความยาวจากข้างหน้าถึงข้างหลัง
หาง : ไม่อยู่สูงเกินไปจากเส้นหลัง ต้องขดเป็นวงแหวนหรือตรง ส่วนปลายโค้งเหมือนดาบแขก แต่จะต้องไม่ขดเหมือนก้นหอย หางต้องไม่เบี้ยวไปข้างใดข้างหนึ่ง เวลาวิ่งหางจะต้องไม่ไปจุกที่ก้น
ขาหน้า : ตรง แข็งแรง และมีช่วงยาวสวยงามระหว่างข้อศอกกับข้อพับเท้าสุนัขที่มีหัวไหล่ตรงเป็นสุนัขที่ผิดแสตนดาร์ด
ขน : ปกคลุมยาวทั้งตัวยกเว้นขนหลัง หน้าและหางมีขนปกคลุมยาวไม่มาก ลักษณะเส้นขนนุ่มเส้นบางไม่หนาหยาบ ในสุนัขที่โตเต็มที่ขนหลังจะต้องสั้นเกรียนสีเข้มกว่าสีขนบนลำตัว
สี : ทุกสี เช่น ขาว ครีม เทา ดำแดง ดำเงิน รวมไปถึงลายเสือ
น้ำหนัก : ตัวผู้ประมาณ 28 กก. ตัวเมียประมาณ 23 กก
ส่วนสูง : ตัวผู้สูง 27 นิ้ว ตัวเมียสูง 25 นิ้ว อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าไม่เกินหนึ่งนิ้ว
ข้อบกพร่อง : ดุหรือขี้กลัว ขนสั้นเกินไป เวลาวิ่งเท้าแกว่ง หลังแอ่น หลังโก่งหรือสุนัขที่มีเส้นหลังไม่เรียบหน้าอกกว้างเกินไป หัวสุนัขที่ไม่โหนกและไม่มีขนปกคลุม

สแตฟฟอร์ดเชียร์เทอร์เรียร์




สุนัขพันธุ์นี้มีสายเลือดของสุนัขพันธุ์บูลด็อกและสุนัขพันธุ์เทอร์เรียร์เท่าๆ กัน ก็เลยตัวล่ำ สู้ไม่ถอย เคยมีประวัติมวยสุนัขติดอยู่ในประวัติศาสตร์ของอังกฤษมาตั้งแต่ต้นคริสต์ษตวรรษที่ 19 แล้ว

ชื่อนี้เอามาจากพวกชาวเหมืองของเมืองสแตฟฟอร์ดเชียร์ประเทศอังกฤษ ที่ตั้งหน้าตั้งตาเพาะสุนัขบ่อนเอาไว้กัดกันมาช้านาน ก่อนที่จะมีกฎหมายห้ามกัดสุนัข

อเมริกาเพิ่งรู้จักสุนัขพันธุ์นี้เมื่อปี 1870 ซึ่งในตอนแรกเรียกกันว่า แยงกี้เทอร์เรียร์บ้าง หรือไม่ก็อเมริกันบูลล์เทอร์เรียร์บ้าง พวกนักเลงเพาะสุนัขที่อเมริกาเน้นหนักกันที่ขนาดและรูปร่าง สุนัขที่เพาะจากอเริกาก็เลยตัวหนักกว่าเดิม
สุนัขรุ่นสมัยใหม่นี้ทิ้งนิสัยนักเลงไปแล้ว กลายสุนัขที่สุภาพและวางใจได้ ว่ากล่าวก็ง่าย เมื่อนำมาเลี้ยงก็คงไม่สามารถที่จะหาใครที่น่ารักและภักดีเหมือนเจ้าสแตฟฟอร์ดเชียร์ตัวนี้ไม่ได้อีกแล้ว มันจะรักเจ้านายถึงขั้นยอมถวายชีวิตเลยทีเดียว

มาตราฐานสายพันธุ์
ลักษณะโดยทั่วไป : มีขนเรียบ มีพละกำลังมากและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ไม่หยุดนิ่งและคล่องแคล่วว่องไว
ศีรษะ : สั้น ลึก กะโหลกกว้าง กล้ามเนื้อแก้มเด่นชัด มีหน้าแงที่ชัดเจน หน้าผากสั้น จมูกสีดำ หากเป็นสีชมพูเป็นข้อบกพร่องที่ร้ายแรง
ตา : นิยมสีดำ แต่อาจจะมีความสัมพันธ์กับสีขนก็ได้ ตากลมขนาดปานกลาง ตาสีจางหรือขอบตาสีชมพูเป็นข้อบกพร่อง ยกเว้นในกรณีที่ขนรอบขอบตาเป็นสีขาวขอบตาก็อาจเป็นสีชมพูได้ หูไม่ใหญ่ ใบหูตั้งครึ่งเดียว ถ้าใบหูตั้งหรือหลุมถือเป็นข้อบกพร่องที่ร้ายแรง
ปาก : สบกันแน่น ฟันที่อยู่บนหรือล่างยื่นไปข้างใดข้างหนึ่งถือเป็นข้อบกพร่องอย่างร้ายแรง
คอ : เส้นหลังและลำคอเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ เส้นหลังอยู่ในแนวระดับ ด้านหน้ากว้าง ส่วนนอกที่อยู่ระหว่างขาหน้าลึก กระดูกซี่โครงโค้งได้ที่ ซี่โครงที่อยู่ใกล้ชายกระเบนเหน็บค่อนข้างบอบบาง ไม่ตัดหาง หางที่ยาวหรือโค้งเกินไปเป็นข้อบกพร่อง
ส่วนหน้า : ขาเหยียดตรง มีกระดูกที่แข็งแรง ตั้งอยู่ค่อนข้างห่างจากกัน ไหล่ไม่หย่อนยาน ฝ่าเท้าไม่อ่อนแอ เท้าควรมีอุ้งเท้าที่หนา แข็งแรงและมีขนาดปานกลาง
ส่วนท้าย : ควรจะมีกล้ามเนื้อส้นเท้าที่ต่อกับเข่าควรโค้งได้ที่ นิ้วติ่งที่ขาหลังควรตัดทิ้ง
ขน : เรียบ สั้น แนบติดหลัง ไม่ควรตัดให้สั้น
สี : สีแดง สีลูกวัว สีขาว สีดำหรือสีน้ำเงินหรือสีใดสีหนึ่งที่กล่าวมาร่วมกับสีขาว อาจจะมีเฉดสีของสีลายเสือ หรือเฉดสีลายเสือร่วมกับสีขาว สีดำ สีน้ำตาลแดงและสีตับจะถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้ประกวด
การย่างก้าว : อิสระ เต็มไปด้วยพละกำลัง คล่องแคล่วว่องไว ไม่ต้องออกแรงมาก หากมองจากทางด้านหน้าหรือด้านหลัง ขาจะเคลื่อนไหวขนานกัน

มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์




สายพันธุ์ “มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ ” (Miniature Schnauzer) มากว่า 10 ปี เริ่มจากผมเป็นคนรักสัตว์และชอบเลี้ยงสัตว์มาตั้งแต่ยังเด็ก ก็คงเหมือนกับท่านอื่นๆที่มีสุนัขเป็นเพื่อนมาตลอด ในตอนแรกผมก็เลี้ยงสุนัขมาหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งสุนัขพันธุ์ผสม สุนัขพันธุ์แท้ จนผมได้พบมินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ ในภาพยนตร์ต่างประเทศเรื่องหนึ่ง และได้จดจำชื่อของเจ้าตัวที่มีหนวดเอาไว้จากนั้นผมก็เริ่มศึกษาสุนัขสายพันธุ์นี้อย่างจริงจัง

จนในที่สุด เมื่อสิบสามปีที่ผ่านมาผมก็ได้มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ ตัวแรกมาเป็นเพื่อน และตั้งชื่อให้ว่า “mambo” ซึ่งกลายมาเป็นชื่อคอกสุนัขของผมมาจนถึงปัจจุบัน ผมได้เรียนรู้และศึกษาจากมินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ที่เลี้ยงอยู่ ทำให้เห็นว่ามินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ นั้นเป็นสุนัขที่มีขนาดกำลังดี สามารถเลี้ยงในสถานที่ไม่กว้างขวางได้ และยังเป็นสุนัขที่โดดเด่นด้วยบุคลิกหน้าตาที่มีเสน่ห์ และมีโครงสร้างที่สง่างามไม่แพ้สุนัขพันธุ์ใหญ่ มีท่วงท่าการเดินที่น่าประทับใจ และเป็นสุนัขที่ฉลาด แข็งแรง กล้าหาญ ซื่อสัตย์ อดทน แถมยังสามารถปรับตัวเข้ากับอากาศในบ้านเราได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ที่สำคัญมินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ นั้นเป็นสุนัขที่ไม่มีกลิ่นสาบและไม่ผลัดขน แม้แต่ผู้ที่เป็นโรคภูมิก็สามารถเลี้ยงได้

5 ปีที่เราได้ศึกษาอย่างจริงจังในเรื่องการพัฒนาสายพันธุ์ รวมถึงการแต่งขนทั้งแบบประกวด และไม่ประกวด จนในที่สุด เราจึงตัดสินใจนำสุนัขเข้าประกวดเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ.2000 จวบจนปัจจุบันสุนัขของ M.mambo club สามารถเก็บคะแนนจนได้เป็น TH.CH. (ไทยแลนด์แชมป์) แล้วกว่าสิบตัว

ตลอดเวลาที่ผ่านมา M.mambo club ได้มุ่งเน้นพัฒนาเพื่อให้ผู้ที่ชื่นชอบสุนัขพันธุ์มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ ได้ทราบว่ามินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ ที่สวยงามและถูกต้องนั้นเป็นอย่างไร รวมไปถึงไม่ทำให้ผู้ที่ให้ไว้วางใจนำสุนัขจากทางเราไปเลี้ยงผิดหวังเพราะสุนัขเหล่านั้นได้เติบโตเป็นสุนัขที่สวยงามและสุขภาพแข็งแรง


อุปนิสัยและบุคลิกประจำสายพันธุ์มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์
มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ เป็นสุนัขที่ตื่นตัว กล้าหาญ ฉลาด เชื่อฟังคำสั่ง ฝึกง่าย เป็นมิตร ไม่ก้าวร้าว ชอบและมีความสุขที่จะอยู่ใกล้ชิดเจ้าของ ซนเมื่อยังเล็ก แต่เมื่อโตก็จะนิ่งขึ้น


ลักษณะเด่นของมินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์
มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ เป็นสุนัขที่จัดอยู่ในกลุ่มเทอร์เรียร์ จึงเป็นสุนัขที่มีความแข็งแกร่งแม้จะไม่ใช่สุนัขพันธุ์ใหญ่ และมีความคล่องแคล่วว่องไวสูง เป็นสุนัขที่ไม่ดุร้าย สามารถเข้ากับสุนัขได้ทุกสายพันธุ์ ถึงแม้ขนาดไม่ใหญ่แต่ก็เป็นสุนัขเฝ้าบ้านได้ ในต่างประเทศสามารถฝึกให้เป็นสุนัขที่ดมหาสิ่งของได้ แม้กระทั่งการดมหาโรคมะเร็ง


การเลี้ยงดูมินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์
การเลี้ยงดูไม่ได้ยุ่งยากอะไร เพียงแค่ให้อาหารที่มีคุณภาพสูง ก็อาจไม่จำเป็นต้องเพิ่มวิตามินใดๆ และเนื่องจากมินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ เป็นสุนัขอดทนและแข็งแรงจึงไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมากนัก สำหรับการดูแลขน ควรแปรงขนอย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง อาบน้ำอาทิตย์ละครั้ง ตัดขนทุกสามถึงสี่เดือน (ในกรณีที่ต้องการประกวดสุนัขต้องดูแลขนด้วยการถอน)
มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ นั้นจัดเป็นสุนัขน่าเลี้ยงมากที่สุดก็ว่าได้ เพราะเป็นสุนัขที่ไม่ผลัดขน ขนไม่ร่วง และเป็นสุนัขที่ไม่มีกลิ่นสาบ ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ก็สามารถเลี้ยงได้


ปัญหาที่พบบ่อยในมินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์
ถ้าเป็นมินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ ที่มีสายเลือดที่ถูกต้องและปราศจากโรคทางพันธุกรรมแล้ว ก็มักไม่ค่อยมีปัญหาอะไร แต่ถ้าเป็นสุนัขที่ได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่ไม่ดี อาจมีปัญหาเรื่องผิวหนัง ปัญหาเกี่ยวกับตา และนิ่ว


สิ่งที่ต้องดูแลเป็นพิเศษสำหรับมินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์
สุนัขทุกๆ สายพันธุ์ในบ้านเรานั้นควรระวังเรื่องยุงเป็นพิเศษ ไม่ควรให้สุนัขนอนในบริเวณที่มียุงชุม ควรจะมีมุ้งลวด เพราะยุงจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องหนอนหัวใจ สุนัขไม่ว่าสายพันธุ์อะไรก็จะเจ็บป่วยและมีชีวิตที่ไม่ยืนยาว


กิจกรรมโปรดของมินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์
มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ เป็นสุนัขขนาดเล็กที่กระตือรือร้น ตื่นตัวและชอบมีกิจกรรมไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมอะไรที่เราจัดให้


มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์เหมาะกับผู้เลี้ยงที่มีบุคลิกแบบใด
มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ เป็นสุนัขขนาดเล็ก เป็นเทอร์เรียร์ที่พร้อมที่จะตื่นตัวในยามที่เรามีกิจกรรม และพร้อมจะนิ่งเฉยในเวลาปกติ (ในสุนัขเต็มวัย) จึงทำให้เหมาะกับทุกคน ทุกวัย และอาจเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับผู้ที่พร้อมจะมีกิจกรรมตลอดเวลา


ความนิยมเลี้ยงมินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ในปัจจุบัน
ปัจจุบันมีผู้เลี้ยงมินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์เยอะขึ้น แต่มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์ที่มีคุณภาพที่ดีสวยงามนั้นยังมีน้อยมาก
สิ่งที่ควรคำนึงถึงก่อนที่จะตัดสินใจเป็นเจ้าของมินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์

สุนัขพันธ์มอลทีส




"มอลทีส"เป็นสุนัขที่รู้จักและนิยมเลี้ยงมานานหลายพันปีแล้ว สันนิษฐานได้ว่าชื่อ"มอลทีส" น่าจะมาจากชื่อประเทศมอลต้า (เป็นเกาะในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน) แต่ชาวยุโรปโบราณกลับมีความเชื่อว่าสุนัขพันธ์นี้มีถิ่นกำเนิดทางฝั่งทะเลของหมู่เกาะชิชิลี ของประเทศอิตาลี มีการพบรูปปั้นมอลทีสในหลุมฝังศพของชาวอียิปต์เมื่อก่อนคริสตกาล อย่างไรก็ตามจากอดีตจนถึงทุกวันนี้สุนัขสายพันธนี้มีการพัฒนาสายพันธ์์และครองใจผู้ที่ชอบเลี้ยงสุนัขที่มีขนาดตัวเล็กและขนยาวด้วย ที่เป็นสุนัขที่มีสีขาวเพียงสีเดียว (มีสีขาวเหมือนเส้นไหม) มีความซื่อสัตย์และจงรักภักดีสังเกตได้ว่าขณะที่อยู่ในบ้านจะเห็นเขานั้งอยู่ข้างเราอย่างสุภาพเรียบร้อย เป็นพันธ์ที่ช่วยเฝ้าบ้านได้ดีและจับหนูเก่งมาก เส้นขนจะพลิ้วอย่างมีชีวิตชีวาน่าเอ็นดู แฝงไปด้วยนิสัยที่ขี้เล่นและซุกซน ทำให้ไม่น่าเบื่อหน่าย ขนของ "มอลทีส" นอกจากจะมีความสลวยเหมือนผืนผ้าไหมแล้วยังสัมผัสได้ถึงความเย็นและที่สำคัญเป็นสุนัขที่ไม่มีกลิ่นตัว
"มอลทีส" เป็นสุนัขพันธ์เล็กที่นิยมเลี้ยงกันอย่างแพร่หลายในชนชั้นระดับผู้นำกรีกและโรมัน โดยเฉพาะในยุคของอริสโตเติ้ล ปัจจุบันยังเป็นที่นิยมเลี้ยงทั้งในประเทศอังกฤษ สหรัฐ อเมริกา แคนาดา เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี ฯลฯ ("มอลทีส" ถูกนำมายังอังกฤษในราว55ปีก่อนคริสตกาลช่วงที่ได้รับความนิยมเลี้ยงมากที่สุดคือ สมัยสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 1 สำหรับที่สหรัฐอเมริกานิยมเลี้ยงสุนัขพันธ์นี้มานานไม่ตำ่กว่า300ปี) สำหรับในเมืองไทยแล้ว "มอลทีส" เป็นที่นิยมเลี้ยงในหมู่คนชั้นกลางเนื่องจากเป็นพันธ์ที่มีราคาค่อนข้างแพง ลูกสุนัขอายุ 2 เดือน ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 30,000 บาทต่อตัว ยิ่งถ้าเป็นลูกที่เกิดจากแม่พันธ์ที่มีประวัติเป็นแชมป์จากประกวดจะซื้อ-ขายอย่างตำ่ 50,000 บาท คนที่จะเลี้ยงสุนัขสายพันธ์นี้จะต้องมีความพร้อมและมีเวลาในการดูแลให้เขาสวยงาม ถึงแม้จะเป็นสุนัขที่ไม่มีกลิ่นตัว จะต้องอาบนำ้อย่างน้อย 7 วันครั้ง จะต้องทำความสะอาดในส่วนของง่ามเท้า หมั่นตัดเล็บอยู่เสมอ หลังจากการอาบนำ้ทุกครั้งจะต้องไดร์ขนสุนัขให้แห้งสนิท ถ้าขืนปล่อยให้ขนของเขายังมีความชื้นอยู่ก็จะทำให้เขาเป็นโรคผิวหนังได้ง่าย

โดยปกติแล้ว "มอลทีส" จะเหมือนกับสุนัขพันธุ์อื่นฯ คือจะให้ลูกปีละ2ครอก แต่ในครอกหนึ่งจะให้ลูกเพียง 2-3 ตัวเท่านั้น อาหารที่ใช้เลี้ยงควรจะใช้อาหารเกรดพรีเมี่ยม สำหรับสุนัขโตให้อาหารวันละ 2 มื้อ ถ้าเป็นลูกสุนัขหลังจากหย่านมจากแม่ (ประมาณ 2 เดือน) ให้กินอาหารเม็ดที่แช่นำ้วันละ 4 มื้อ เมื่อลูกสุนัขมีอายุได้ 3 เดือนจะเปลี่ยนเป็นอาหารแข็ง เมื่ออายุได้ 4 เดือนให้อาหารเม็ด 3 มื้อ เมื่ออายุได้ 7 เดือนขึ้นไปก็เหลือเพียง 2 มื้อ


พยาธิหัวใจ (Heart worm)


พยาธิหัวใจ (Heart worm) เกิดจากตัวพยาธิที่มีชื่อว่า Diroflaria immitis พยาธิชนิดนี้จะมีความยาวเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 1 ฟุต ตัวเต็มวัยจะอาศัยอยู่ในหลอดเลือดดำที่หัวใจห้องขวาซึ่งเป็นหลอดเลือดที่จะนำเลือดจากหัวใจห้องขวาไปฟอกที่ปอด จะทำให้เกิดการอุดตันอยู่ภายใน หัวใจไม่สามารถส่งเลือดไปฟอกได้เต็มที่ ทำให้เกิดภาวะหัวใจต้องทำงานหนักกว่าปกติ มีการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจห้องขวามากขึ้น หัวใจด้านขวามีการโตขึ้นมากกว่าปกติ สุนัขจะแสดงอาการเหนื่อยง่าย เบื่ออาหารไอแห้งๆและบ่อย หายใจลำบากเนื่องจากภาวะหัวใจโต หัวใจดันหลอดลมให้ตีบแคบลงเกิดภาวะมีน้ำในช่องอก มีอาการท้องมาน บวมน้ำ ถ้าอาการรุนแรงมากๆสุนัขสามารถที่จะเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้ทันที



รับมือกับคุณแม่มือใหม่



เจ้าของหลายท่านอาจจะมีปัญหากับการเลี้ยงสุนัขตัวเมีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเกิดตั้งท้องขึ้นมาครั้งแรก คงจะทั้งตื่นเต้นละทำอะไรกันไม่ถูกเลยใช่ไหมคะวันนี้หมอมีเทคนิคง่ายๆกับการรับมือคุณแม่ตัวดีนี้กันคะ

สุนัขจะตั้งท้องประมาณ 2 เดือน(เฉลี่ย 60-72 วัน) สุนัขจะกินอาหารเยอะมากขึ้น มีการขยายของช่องท้อง เต้านมเริ่มขยายตัว เจ้าของดูแลเค้าง่ายๆ เลี้ยงตามปกติเลยคะ ให้กินอาหารตามปกติที่เคยให้ (อาจจะเน้นประเภทโปรตีนมากขึ้นอีกนิด) ในช่วงแรกไม่ควรให้เค้ากินเยอะนะคะ เพราะถ้าน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมากเกินไป หรือบำรุงจนเจ้าตัวเล็กในท้องตัวใหญ่ไปอาจจะมีปัญหาตอนคลอดได้ หมอแนะนำให้เพิ่มมื้ออาหารดีกว่าคะ นอกจากนั้นควรจะพาไปพบสัตวแพทย์ ให้คุณหมอเช็คการดูแลสุขภาพ ประวัติการทำวัคซีน ถ่ายพยาธิให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันการติดต่อโรคต่างๆไปยังเจ้าตัวเล็กในท้อง เจ้าของอาจจะเริ่มเสริมแคลเซียมให้กับคุณแม่ได้โดยการให้นม (ถ้าตัวไหนไม่เคยกินอาจจะมีอาการถ่ายเหลวได้ในระยะ 2-3 วันแรก) หรือเป็นแคลเซียมอัดเม็ดที่มีขายกันทั่วไปก็ได้คะ และควรจะให้กินต่อเนื่องจนเริ่มงดให้ในช่วงก่อนคลอด (ประมาณ 7-10 วันก่อนคลอด)

หลังจากตั้งท้องไปประมาณ 45-50 วัน เจ้าของควรจะพาคุณแม่มือใหม่ไปฝากท้องกับคุณหมอนะคะ เพื่ออะไร เจ้าของอาจจะสงสัยใช่ไหมคะ คุณหมอจะทำการตรวจสภาพร่างกายโดยทั่วไปก่อนว่าสุนัขมีความสมบูรณ์ไหม และคุณหมอจะทำการ x-ray เพื่อตรวจสภาพการตั้งท้องว่าเค้าตั้งท้องจริงใช่หรือไม่ เพราะภาวการณ์ตั้งท้องเทียมสุนัขจะแสดงอาการเหมือนกับการตั้งท้องจริงทุกอย่าง นอกจากนี้การ x-ray ยังสามารถบอกจำนวนเจ้าตัวเล็กในท้อง และดูช่องของกระดูกเชิงกรานของแม่เทียบกับขนาดหัวของเจ้าตัวเล็กเพื่อคาดเดาว่าตัวแม่เค้าสามารถที่จะคลอดเองได้หรือไม่อีกด้วยนะคะ เห็นไหมคะ ง่ายๆเองที่จะดูแลคุณแม่มือใหม่ให้ผลิตเจ้าตัวเล็กออกมาให้เราได้ตื่นเต้นกันคะ


เรื่องน้ำตาของมอลทีส


เรื่องน้ำตาเนี่ยเป็นเรื่องของพันธุกรรมนะครับ ถ้าสายเค้ามี เด็กๆ ก็จะมีไปด้วยน่ะครับ ทุกวันเค้าจะมีน้ำตาดังนั้น คราบน้ำตาลอ่อนๆ หลังจากที่ทำความสะอาดแล้วก็จะยังมีอยู่ครับ ไม่หายแต่เคลือบภายนอกให้ดูจางลงได้ด้วยแป้งเคลือบหนวด แต่พอวันรุ่งขึ้นก็จะมีอีกเช่นเดิม ซึ่งสุนัขที่จะประกวดเค้าจะใช้ยาฟอกขาวตรงบริเวณหนวดครับ แต่ถ้าเราไม่ได้ประกวดก็อย่าไปทำเลยครับ เดี๋ยวปะเหมาะเคราะห์ร้ายจะกลายเป็นสวยแต่ตาบอดไปล่ะแย่เลย
เรามาเริ่มกรรมวิธีดูแลเด็กๆ กันเลยดีไหมครับ


แย่แล้ว...ไม่อยากได้ลูก ทำยังไงดี


สำหรับเจ้าของที่เลี้ยงสุนัขเพศเมียมักจะเกิดปัญหาปวดหัว แก้ไม่ตกเมื่อสุดสวยประจำบ้านเริ่มเป็นสาว หรือเริ่มเป็นสัดนั่นเอง โดยปกติแล้วในบ้านเราสุนัขเพศเมียจะเริ่มเป็นสัดครั้งแรกได้เมื่ออายุ 6-8 เดือนซึ่งจะถือว่าเร็วกว่าเมื่อเทียบกับต่างประเทศเนื่องจากสภาพอากาศ สุนัขจะเป็นสัดได้ 1-2 ครั้งต่อปี การเป็นสัดของสุนัขนั้นอาการก็จะเหมือนกับผู้หญิงจะมีเลือดซึมออกจากอวัยวะเพศ หรือที่เราเรียกกันว่าแระจำเดือนนั่นแหละคะ

อวัยวะเพศบวมแดง มีอาการหงุดหงิด กระวนกระวายได้ สุนัขบางตัวอาจจะมีการปวดเกร็งท้องได้ ในช่วงที่มีประจำเดือน(3-4 วัน) ตัวเมียจะไม่ยอมให้ตัวผู้ทำการผสม แต่พอหมดจะเริ่มหมดจะยอมให้ทำการผสมได้ ซึ่งเป็นช่วงที่เจ้าของที่ไม่อยากให้สุดสวยตั้งท้องก็ต้องคอยมาระวังกัน ซึ่งค่อนข้างจะสร้างความปวดหัวให้กับเจ้าของใช่ไหมคะ ไม่ต้องกังวลคะ หมอมีวิธีการง่ายๆที่จะรับมือกับสถานการณ์นี้มาฝากคะ
วิธีการแรกง่ายๆคะ จับแยกออกจากตัวผู้เลยในกรณีที่บ้านเลี้ยงตัวผู้ด้วยนะคะ หรือจับขังกรง(ใจแข็งนิดนึงนะคะ) เพื่อป้องกันการออกไปนอกบ้าน หรือในช่วงแรกที่มีประจำเดือนนั้นเราอาจจะใส่ผ้าอนามัยให้เค้าได้คะ แต่อาจจะยุ่งยากไปนิด หรือจะลองเปลี่ยนมาใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปของเด็กแทนได้ ง่ายๆเพียงแค่ตัดเป็นรูพอให้ใส่หางได้ก็เรียบร้อยคะ แบบนี้ไม่ต้องมากังวลประจำเดือนที่จะเปื้อนบ้านด้วยเวลาเค้าจะปัสสาวะก็ทำได้เลยไม่เลอะเทอะด้วย ถ้าเกิดบังเอิญถึงช่วงเวลาที่เค้ายอมให้ผสม เวลาตัวผู้ขึ้นผสมก็ไม่สามารถที่จะผสมได้อีกด้วยนะคะ

แต่ถ้าสุดสวยเกิดโดนผสมขึ้นมาจริงๆแล้วเราไม่ต้องการให้ตั้งท้องนั้นก็มีวิธีการแก้ไขเหมือนกันคะ คือจะต้องพาไปพบสัตวแพทย์ ให้ทำการฉีดฮอร์โมนที่ทำให้มดลูกไม่พร้อมที่จะตั้งท้องได้ ซึ่งในการฉีดยานี้ถ้าจะให้ได้ผลนั้นคือเจ้าของต้องแน่ใจก่อนว่าสุนัขไปโดนผสมมาไม่เกิน 72 ชั่วโมงยาที่ใช้จึงจะได้ผล และหลังจากที่ฉีดยาไปแล้ว เจ้าของต้องไม่ให้สุนัขไปโดนผสมอีก เพราะมีโอกาสที่จะตั้งท้องได้ตามปกติ ดังนั้นหลังจากฉีดยาแล้วก็ควรจะจับแยก หรือใช้วิธีที่หมอแนะนำไปแล้วนะคะ และระยะเวลาที่เราจะแน่ใจว่าสุนัจจะไม่ผสมกันอีกประมาณเกือบ 2 สัปดาห์หลังจากเป็นสัดคะ

พันธ์เชาเชา




ความเป็นมา


เชาว์ เชาว์ เป็นสุนัขที่มีเอกลักษณ์
และมีเสน่ห์ ตัวหนึ่งที่มีรกรากจาก
ประเทศจีนแต่ยังไม่มีใครทราบถึงความเป็นมาที่แท้จริง เชาว์ เชาว์ ยัง
คงมีบุคลิกและรูปลักษณ์นี้มาตั้งแต่
150 ก่อนคริสตกาล บันทึกช่วงแรกๆ
แสดงให้เห็นว่า จักรพรรดิจีนใช้ เชาว์
เชาว์ เพื่อเป็นสุนัขคุ้มกันในวัง และ
เพื่อล่าสัตว์ เชาว์ เชาว์ถูกนำเข้ามา
ในฝั่งตะวันตกเป็นครั้งแรกคือใน
ประเทศอังกฤษปี 1781 แต่ก็ไม่ได้มี
ความโดดเด่นจนกระทั่ง ศตวรรษต่อ
มาลักษณะพิเศษของสุนัขขนาดกลาง
ตัวนี้คือ ลิ้นของเขามีสีน้ำเงินเกือบดำ
เหมือนกับหมี


ช่วงชีวิตเฉลี่ย


เชาว์ เชาว์ มีอายุยืน ถึง10 ปี


ขนาดและน้ำหนักเฉลี่ย


45.7 ซม.


อุปนิสัยประจำพันธุ์/ลักษณะประจำพันธุ์/อารมณ์


หน้าตา เชาว์ เชาว์ อาจะดูดุเหมือนจะแยกเขี้ยวใส่ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างแรงเพราะ
เชาว์ เชาว์ เป็นสุนัขที่มีอารมณ์ดี รักอิสระและจงรักภักดี สุนัขเชาว์ เชาว์ จะไม่ชอบกระดิก
หางให้กับคนทั่วไป เขาจะเลือกแสดงความรักและความขี้เล่นของเขาต่อคนในครอบครัวเท่า
นั้น ความภักดีของสุนัขพันธุ์นี้ คือสิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นคุณสมบัติและความพยายามอันมีค่าที่ได้
มาจากการเรียนรู้อย่างรวดเร็วและความฉลาดของเขาส่วนใหญ่เลี้ยงไว้เป็นเพื่อน แต่
สัญชาตญาณของ เชาว์ เชาว์ คือการปกป้องและการเป็นนักล่า ที่แสดงให้เห็นเสมอถึงความ
คล่องแคล่วในการไล่ล่ากระต่าย แมว และไก่ และขณะเดียวกันก็ตื่นตัวในการปกป้องบ้าน
และครอบครัว


ความเข้ากันได้กับสัตว์เลี้ยงอื่นๆ


ต้องเลี้ยงกับสัตว์เลี้ยงอื่นๆ ตั้งแต่เขายังเล็ก


ความต้องการการเอาใจใส่ดูแล


การแปรงและหวีขนเป็นประจำจะทำให้ขนเขาดูสวย และจะช่วยทำให้บ้านไม่เต็มไปด้วยขน
ที่เกิดจากการผลัดขนของเขา ซึ่งจะเกิดขึ้นปีละหลายๆครั้ง เชาว์ เชาว์ เป็นสุนัขที่รักสะอาด
อย่างที่สุด และเขาจะ ทำความสะอาดหน้าของเขาหลังการกินด้วย


ข้อควรจำ


ถึงแม้ว่าจะเป็นสุนัขที่มีความจงรักภักดี เชาว์ เชาว์ จะมองเจ้าของเหมือนเพื่อนไม่ใช่เจ้านาย


ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม


ทุกคนที่มีเวลาดูแลเรื่องการตัดแต่งขนและการออกกำลังกายให้สุนัขตัวนี้ได้

สุนัขพันธ์ดัลเมเชียน




ลักษณะจุดที่สวยงามของ ดัลเมเชียนทำให้สุนัขพันธุ์นี้มีลักษณะโดดเด่นจากสุนัขพันธุ์อื่นๆ ลูกสุนัขที่เพิ่งเกิด
จะมีสีขาวทั้งตัวแล้วจะเริ่มเห็นจุดสีดำหรือสีตับเมื่ออายุได้ประมาณ 2 สัปดาห์สายพันธุ์บรรพบุรุษที่ใกล้ชิดกับสุนัข
พันธุ์ ดัลเมเชียน ในยุควิกตอเรีย มีชื่อเสียงในการคุ้มกันกองคาราวานและวิ่งตามรถม้าของผู้ดีในยุคนั้นโดยฝูง ดัลเมเชียน จะกระจายอยู่ด้านหน้าข้างๆ และด้านหลังของตัวรถดัลเมเชียนมีความผูกพันกับม้าเป็นอย่างมาก
แม้ในปัจจุบัน ก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ ถ้านำดัลเมเชียน ไปปล่อยไว้ใกล้ๆกับม้าเราจะเห็นดัลเมเชียนโดย ส่วนใหญ่เข้าไปทักทายกับม้าทันท ี สุนัขพันธุ์นี้เคยถูกใช้คุมฝูงวัวและเกวียนใน
สงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเวียดนาม จะพบเขาได้ตามรถดับ
เพลิงและเป็นที่รักของเจ้านายในยุค
วิกตอเรีย เป็นสุนัขที่ใช้การแสดง
ต่างๆ ใช้ในกีฬาล่าสัตว์เขามีความสาม
รถมากมายหากคุณจะใจรับเขา

อุปนิสัยประจำพันธุ์/ลักษณะประจำพันธุ์/อารมณ์


ดัลเมเชีย เป็นสุนัขรักสนุกที่แม้จะติดตลกด้วย้ำ แต่ก็ยงมีความสง่างามในตัวซึ่งเป็น
สัญลักษณ์ ประจำของสุนัขพันธุ์นี้"รอยิ้ม" ของเขาที่เราเห็นบ่อยมักจะโดนเข้าใจผิดว่าเป็น
การแยเขี้ยคำรามถ้าไม่เหลือบไปเห็นหางระริกระรี้ที่กระดิกอยางเป็นมิตรอย่ด้วยวามที่
เป็นสุนัขอ่อนไหวเขาจะคอยามติด และคอย้อนขอความรักจากคุณเสมอ

สุนัขพันธ์บีเกิ้ล




ถิ่นกำเนิด ประเทศอังกฤษ
ประวัติ สุนัขพันธุ์บีเกิลเป็นสุนัขพันธุ์เล็กที่สุดพันธุ์หนึ่งในสุนัขกลุ่มล่าสัตว์ บิเกิลได้ถูกระบุเขียนถึงครั้งแรกเมื่อปี 1475 เมื่อเวลาเข้าป่าล่า


สัตว์ พรานจะนำสุนัขพันธุ์นี้ไปเป็นฝูงเพื่อหาเหยื่อ สุนัขพันธุ์นี้ใช้ช่วยล่าสัตว์ทั่วโลกจริงๆ อย่างในซูดาน เอาไว้ล่าหมาป่าแจคเกิ้ล ทางตอนเหนือหนาวเย็นใช้ช่วยล่ากวาง ในอเมริกา แคนนาดาตอนนี้ใช้สุนัขพันธุ์บีเกิลเพื่อไปคาบนกที่ล่าได้นำกลับมาคืนเจ้าของ

ขนาด มีน้ำหนัก 8-13 กิโลกรัม สูง 33-40.50 เซ็นติเมตร

ลักษณะทั่วไป สี มักมีขนสามสีบนตัว สีขาว ดำ น้ำตาล สีที่อกโดยมากเป็นสีขาว ส่วนสีดำกับสีน้ำตาลนั้นจะอยู่บนลำตัว และแผ่นหลังด้านใต้ท้องก็จะเป็นสีขาวเช่นกัน หัว ความยาวของกะโหลกจะสมส่วน กล่าวคือ ความยาวจากปลายจมูกถึงมุมปากจะเท่ากัน จากมุมปากถึงส่วนท้ายของกะโหลก รูปทรงของหัวจะมีกระหม่อมที่ไม่โค้งนูนมาก จะกว้างหน้าผากจะตั้งชัดเจน ใบหูยาวปกลง ขน สั้นตรง เท้า ขนาดกระทัดรัด แข็งแรง หาง ความยาวปานกลาง ค่อนข้างตรงชี้ขึ้น

ข้อดีของสุนัขพันธุ์นี้
1. รักเด็ก รักสันติ
2. ไม่ก้าวร้าวกับสุนัขอื่นๆ
3. ฉลาด และช่างประจบ

พันธุ์ บูล เทอร์เรีย (Bull Terrier)





กลุ่ม เทอร์เรีย (Terrier Group)

มาตรฐานของพันธุ์ (Breed Standard)

ลักษณะทางกายวิภาค ลําตัวและโครงสร้างที่แข็งแรงออกเตี้ยล่ำ เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ มีส่วนสัดที่รับกันอย่างพอดีมีลักษณะปราดเปรียว คล่องแคล่วว่องไว

อัตราการโต จัดอยู่ในกลุ่มสุนัขขนาดกลาง

การเลี้ยงดู ควรมีความเอาใจใส่เป็นอย่างมากเพราะเป็นสุนัขที่มีกำลังมากอาจก่อให้เกิดอันตรายกับเจ้าของเเละผู้อื่นได้

อุปนิสัย กระตือรือร้น มีไหวพริบและความฉลาด อ่อนหวาน อ่อนโยน ไม่ดื้อดึงกับระเบียบวินัย

อาหาร อาหารสุนัขทั่วไปเเละควรคำนึงถึงสารอาหารที่สัตว์ได้รับด้วย

ข้อพึงระวังในการเลี้ยง ระวังการกัดของสุนัขชนิดนี้เนื่องจากเค้ากัดไม่ปล่อย

ข้อสังเกตุเมื่อไม่สบายเเละโรคที่อาจเกิดขึ้นรวมถึงการรักษา

ควรป้องกันก่อนที่จะเกิดโรค

1 ควรพาสุนัขไปพบสัตว์เเพทย์เป็นประจำตามใบนัดเพื่อทำการฉีดวัคซินตามโปรเเกรม

2 สุนัขชนิดนี้มีหลายสี เช่น ขาว ดำ เเละ ลาย เสือ หาก ขนสีขาวเป็นส่วนมากหรือขาวล้วน โปรดระวัง เเสงเเดด เเละความร้อน

3 ระวังเรื่องโรคอ้วนด้วย เพราะ เนื่องจากมีนิสัยกินทุกอย่างที่สามารภกินได้

4 เป็นสุนัขที่ต้องการการออกกำลังกายสูงมาก ควรพาไปเดินเล่นทุกวัน

สุนัขพันธ์ปักกิ่ง




เริ่มต้นจากการเป็นหมาในราชสำนักจีน ได้รับการปกป้องคุ้มครองสายพันธุ์ให้บริสุทธิ์อย่างเข้มงวดโดยราชสำนัก นั่นหมายถึงจะไม่มีการให้ผสมข้ามสายพันธุ์มั่วซั่วโดยเด็ดขาด ถ้าเป็นในสมัยนี้ก็คงยาก เพราะแค่มุดรั้วหนีออกไปก็หมดกัน แต่ในสมัยกระนู้นจะเลี้ยงสุนัขพันธุ์ปักกิ่งกันได้ก็ต้องเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระจักรพรรดิเท่านั้น ถ้าใครคิดหาญขโมยออกไปละก็ โทษถึงตาย!!
ทำไมถึงต้องหวงห้ามกันขนาดนั้น ก็เพราะในสมัยก่อนเชื่อกันว่าปักกิ่งเป็นสายพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ ถึงกับมีการสร้างรูปจำลองแกะสลักด้วยวัสดุชนิดต่างๆ เช่น ไม้ งาช้าง ทองเหลือง หยก ขนาดเล็กใหญ่ต่างกันไป วางไว้ตามวัดวาอาราม

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครรู้แน่ว่าสุนัขพันธุ์นี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ เท่าที่สืบสาวราวเรื่องไปได้ไกลที่สุดก็ในสมัยราชวงศ์ถัง (ศตวรรษที่ 8) มีหลักฐานว่ามีสุนัขพันธุ์ปักกิ่งอยู่ในราชสำนักแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ยังหาหลักฐานไม่พบ
และเพื่อยืนยันว่าราชสำนักจีนหวงสุนัขพันธุ์ปักกิ่งเอามาก ๆ ก็จะขอเล่าเรื่องนี้ให้อ่าน อ่านแล้วต้องคัดลอกอีกสิบฉบับแล้วส่งไปให้เพื่อน ไม่งั้นท่านจะโชคร้าย แต่ถ้าท่านทำตาม ท่านก็จะถูกหวยรวยเป็นล้าน
เพ้อเจ้ออีกแล้ว ! กลับมาเข้าเรื่องดีกว่า เรื่องมีอยู่ว่า

ในปี ค.ศ.1860 อังกฤษเข้ายึดวังจักรพรรดิที่กรุงปักกิ่ง ในเวลานั้นทุกคนต่างตระหนกตกใจ แต่ก็ยังไม่วายมีสติพอที่จะ "ฆ่า" สุนัขพันธุ์ปักกิ่งทุกตัวที่มีอยู่ในวัง ทั้งนี้เพราะไม่อยากให้สุนัขสายพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์นี้ตกไปอยู่ในมือของฝรั่งอั้งม้อ แต่ฟ้าดินลิขิตแล้วให้ปักกิ่งได้ไปเที่ยวอังกฤษจึงยังมีสุนัขห้าตัวเหลือซ่อนอยู่ สาเหตุที่ห้าตัวนี้ไม่ถูกฆ่าตายก็เพราะเป็นสุนัขสุดโปรดของซูสีไทเฮา เพราะฉะนั้นจึงน่าจะเชื่อได้ว่าเป็นสุนัขห้าตัวที่สวยที่สุด ดีที่สุดในแผ่นดินจีนสมัยนั้น เนื่องจากซูสีไทเฮามีอำนาจเหนือกว่าจักรพรรดิซะอีก
สุนัขห้าตัวที่ว่านี้มีสีต่างกัน ตัวหนึ่งมีสีน้ำตาลอมเหลืองและแต้มขาวถูกทหารนำกลับอังกฤษไปถวายแด่สมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย และนี่คือจุดเริ่มต้นของสุนัขพันธุ์ปักกิ่งในโลกตะวันตก และแม้เมื่อไปอยู่ไกลบ้านขนาดนั้น ปักกิ่งก็ยังไม่ลืมความเป็นหมาในราชสำนักของตัวเอง ทุกวันนี้ปักกิ่งยังมีบุคลิกแบบสวย เริ่ด เชิด และหยิ่งในศักดิ์ศรี พร้อมด้วยอาการดื้อดึงแต่พองาม เป็นสุนัขที่มีความเป็นตัวของตัวเอง มีท่าทีการเคลื่อนไหวอย่างสง่างามระเหิดระหง อารมณ์ดีแต่สงบเงียบ ไม่เอะอะโวยวายหรือร่าเริงเกินเหตุ แต่ก็ใช่ว่าจะนิ่งจนน่าเบื่อ ถ้าอยู่กับเจ้านายหรือผู้ที่คุ้นเคยมันก็จะเล่นด้วยอย่างสนุกสนานน่ารัก นอกจากนี้ปักกิ่งยังเป็นสุนัขที่กล้าหาญ ไม่เคยมีประวัติเรื่องวิ่งหนีหางจุกตูด เป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรง ทรหดอดทนและเลี้ยงง่าย ทั้งยังเป็นมิตรและซื่อสัตย์ต่อเจ้าของอย่างยิ่งด้วย

สุนัขพันธุ์ปักกิ่งมีสามสมญานามที่บ่งบอกลักษณะอันดี ได้แก่ Lion Dogs (หมาสิงโต) เพราะมีลำตัวช่วงหน้าที่หนา ใหญ่ แล้วค่อย ๆ เล็กแคบลงไปในช่วงหลัง สมญาที่สองคือ Sun Dogs (หมาแสงตะวัน) เพราะมีขนสีแดงประกายทอง สวยจับตาจับใจ สุดท้ายคือ Sleeve Dogs (หมาแขนเสื้อ) เพราะตัวเล็กขนาดที่ใส่ไว้ในแขนเสื้อคนจีนสมัยก่อนได้ แต่ปกติมักใช้เรียกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่ตัวเล็ก ๆ เท่านั้น

ที่ประเทศอังกฤษเริ่มมีการนำสุนัขพันธุ์ปักกิ่งมาโชว์ต่อสาธารณชนก็ต่อเมื่อสามปีหลังจากมันมาถึงแดนผู้ดี ผู้คนต่างพากันสนใจทั้งในความสวยงามและประวัติอันน่าตื่นเต้น ส่วนในอเมริกามีการจดทะเบียนสุนัขพันธุ์ปักกิ่งไว้ใน American Kennel Club เมื่อปี ค.ศ.1906 หลังจากนั้นก็มี Pakingese Club of America และลงทะเบียนเป็นสมาชิกใน American Kennel Club ในปี 1909 แสดงให้เห็นว่าคนอเมริกันให้ความนิยมชมชอบเจ้าสุนัขพันธุ์ปักกิ่งนี้อย่างมาก
ถ้าอยากหาสุนัขประเภทสวย เริ่ด เชิด หยิ่ง แบบปักกิ่งมาเลี้ยงสักตัว ก็ตามไปอ่านในส่วนมาตรฐานสายพันธุ์นะจ๊ะ



มาตรฐานสายพันธุ์ปักกิ่ง

ลักษณะทั่วไป รูปร่างสมส่วน กะทัดรัด ลำตัวส่วนหน้าดูใหญ่ หนา ลำตัวส่วนหลังเล็กแคบกว่า มีลักษณะคล้ายสิงโต มีนิสัยกล้าหาญ เป็นตัวของตัวเอง ไม่ประจบประแจง ไม่เจ้าเล่ห์ ไม่มีท่าทีกรีด-
กราย
ขนาด โครงร่างและสัดส่วน ถึงแม้จะดูตัวเล็กแต่เมื่ออุ้มดูจะต้องรู้สึกหนักมาก ทั้งนี้เพราะโครงร่างของปักกิ่งต้องมีกล้ามเนื้อหนาและแข็งแรง กระดูกของลำตัวส่วนหน้าก็หนาหนักด้วย ปกติแล้วน้ำหนักต้องไม่เกิน 14 ปอนด์ทั้งตัวผู้และตัวเมีย ถ้าเกินกว่านี้จะไม่รับพิจารณาในการประกวด ในด้านของสัดส่วนนั้น ความยาววัดจากกระดูกอกจรดบั้นท้ายต้องยาวกว่าความสูงวัดจากจุดสูงสุดของไหล่จรดพื้นเล็กน้อย ในการประกวด คะแนนด้านความสมดุลของโครงร่างและสัดส่วนสำคัญมาก
กะโหลก กระหม่อมหนา แบน กว้าง ไม่เป็นรูปโดม
ใบหน้า ใบหน้าที่ถือว่าถูกต้องตามคุณลักษณะคือ โหนกแก้มอยู่สูงและกว้าง ขากรรไกรล่างและคางก็กว้างเช่นกัน เมื่อมองจากด้านหน้า กะโหลกต้องดูกว้างมากกว่าลึก ดูแล้วไม่เป็นรูปกลมแต่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เมื่อมองจากด้านข้างจะเห็นว่าหน้าแบน คาง จมูกและคิ้วอยู่ในระนาบเดียวกัน แต่ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าแนวระนาบนี้เอนจากคางขึ้นไปที่หน้าผากเล็กน้อย
จมูก สีดำ กว้าง สั้น เมื่อมองจากด้านข้างจะเห็นว่าจมูกแบนติดกับหน้า มองเห็นรูจมูกได้ชัด จมูกอยู่ในตำแหน่งตรงกลางระหว่างตาพอดี กล่าวคือเมื่อลากเส้นขวางผ่านปลายยอดจมูก เส้นนี้จะอยู่ในระนาบเดียวกับจุดกึ่งกลางของลูกตาดำ
ตา ตาทั้งสองข้างอยู่ห่างกันพอสมควร ตากลม ใหญ่ สีดำเข้ม วาววับเป็นประกาย เวลามองจะให้ความรู้สึกนิ่ง ขรึม ตาไม่โปน ขอบตาสีดำ ถ้าสุนัขมองตรง ๆ (ไม่เหลือกตา) จะต้องไม่เห็นตาขาว
รอยย่น รอยย่นบนใบหน้าของปักกิ่งเป็นสิ่งที่แยกใบหน้าส่วนบนกับส่วนล่างออกจากันอย่างชัดเจน แต่ปกติเราจะมองไม่เห็นรอยย่นเพราะขนจะขึ้นยาวปกคลุมรอยย่นนั้นทั้งหมด จากแก้มซ้ายไปแก้มขวาโดยมีรอยแหวกที่บริเวณจมูก ขนที่ใบหน้านี้ต้องไม่ฟูหนาจนปิดบังใบหน้าและการมองเห็นของสุนัข
จุดเชื่อมต่อระหว่างหน้าผากกับจมูก (stop) ลึก มองเห็นสันจมูกได้ไม่ชัดเพราะมีขนปกคลุมและมีรอยย่นที่สันจมูกด้วย
ส่วนจมูกกับปาก (muzzle) จมูกเชิด กว้าง และสั้นมาก ผิวหนังส่วนนี้มีสีดำ มีหนวด
ปาก ขากรรไกรล่างยื่นออกเล็กน้อย ทำให้ฟันล่างเกยฟันบน แต่ริมฝีปากปิดชิดกันสนิท ไม่เห็นฟันเหยินหรือเห็นลิ้นยื่นออกมา ขากรรไกรล่างแข็งแรง กว้าง มั่นคง และตัดตรงผ่านคาง คางที่หนาเกินไปถือเป็นลักษณะที่ไม่ดี
หู หูเป็นรูปหัวใจ ตั้งอยู่มุมด้านหน้าของกะโหลกและยาวไปตามแนวกะโหลก วิธีดูง่าย ๆ คือคือหูต้องห้อยยาวลงมาแนบแก้ม แลดูเหมือนเป็นกรอบหน้า ใบหูทั้งสองมีขนยาวหนา ลักษณะเช่นนี้หลอกตาทำให้เราเห็นว่าสุนัขมีใบหน้าที่กว้างกว่าความเป็นจริง
สีที่ผิวหนัง สีที่จมูก ริมฝีปาก และขอบตา ล้วนเป็นสีดำ
คอ คอหนาและสั้นมาก เรียกได้ว่าคอจมอยู่กับไหล่
ลำตัว กะทัดรัด ส่วนหน้ากว้างกว่าส่วนหลังเพราะซี่โครงกางออกมากกว่า อกกว้าง กระดูกอกอาจโปนออกมาได้เล็กน้อย ลำตัวค่อย ๆ เรียวเล็กลงไปสู่ด้านหลัง มองเห็นเอวได้ชัดเจน แนวหลังตรงไม่แอ่นเว้าหรือโค้งนูน
หาง โคนหางตั้งอยู่สูง มีขนหนา ยาวและตรงลงมาที่ลำตัวทั้งสองข้าง
ลำตัวส่วนหน้า สั้น หนาและกระดูกหนาหนักเช่นกัน ไหล่เอนลาดไปด้านหลังและเชื่อมประสานกับลำตัวอย่างกลมกลืนโดยไม่มีรอยนูนเว้า ข้อศอกอยู่ชิดกับลำตัวเสมอ กระดูกขาหน้าช่วงระหว่างข้อศอกถึงข้อเท้าจะโค้งเล็กน้อย เท้าหน้าใหญ่ แบนและชี้ออกด้านข้างเล็กน้อย ขาแข็งแรงทำให้สุนัขยืนและทรงตัวได้อย่างมั่นคง
ลำตัวส่วนหลัง กระดูกเล็กกว่าลำตัวส่วนหน้า เมื่อมองจากด้านหลัง ขาหลังอยู่ใกล้กันและขนานกัน เท้าหลังชี้ตรงไปข้างหน้า อย่างไรก็ตาม แม้ลำตัวส่วนหลังจะเล็กกว่าส่วนหน้า แต่ก็ยังต้องมีลักษณะบึกบึนแข็งแรง ไม่อ้อนแอ้นอรชร มิฉะนั้นจะดูไม่สมดุลกัน
ขน มีขนหนาทั่วตัว ยาวตรงและให้สัมผัสหยาบ ขนชั้นในจะนุ่มกว่าขนชั้นนอก ขนไม่ลีบ ขนที่แผงคอและช่วงไหล่จะยาวกว่าที่ส่วนอื่น ๆ ลักษณะขนที่ดีคือยาวและหนา เพราะเมื่อขนแนบไปตามลำตัวจะทำให้เห็นรูปร่างลักษณะของสุนัขได้ชัดเจน นอกจากนี้ขนที่ขา หู หาง และนิ้วก็ยาวเช่นกัน อย่างไรก็ตามขนที่นิ้วอาจตัดออกได้บ้างเพื่อให้สุนัขเคลื่อนไหวได้สะดวก แต่ไม่ใช่ตัดออกทั้งหมด
สีขน สีอะไรก็ได้ จะมีแต้มหรือไม่มี ที่ไหนอย่างไรก็ได้ทั้งสิ้น
การก้าวย่าง ไม่ลุกลี้ลุกลน ไม่กะโผลกกะเผลก ไม่ต้องออกแรงมากก็เคลื่อนไหวได้อย่างสง่างาม ลักษณะการเดินจะดูเหมือนกับว่าไหล่หมุนเป็นวงกลม ทั้งนี้เพราะว่ามีขาหน้าที่โค้งและลำตัวส่วนหน้าที่หนาหนักกว่าส่วนหลัง
อารมณ์ มีความเป็นตัวของตัวเองสูง หยิ่ง ดื้อ แต่ถ้ารักใครก็จะแสดงความสนุกสนานร่าเริงและเป็นมิตร

ไซบีเรียน ฮัสกี้




ไซบีเรียน ฮัสกี้ เป็นสุนัขที่ชนเผ่าชัคชิ (Chuckchi) ในไซบีเรียนได้เพาะขึ้น

มายาวนานกว่า 3,000 ปีมาแล้ว เพื่อใช้ในการลากเลื่อนบรรทุกสิ่งของหรือเป็นพาหนะ

ในพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและหิมะ

ประกอบกับที่ชนกลุ่มนี้ได้ทุ่มเทเวลาเกือบทั้งหมดกับการเพาะพันธุ์สุนัข ไซบีเรียน ฮัสกี้

จึงได้กลายมาเป็นสุนัขลากเลื่อนพันธุ์แท้ที่มีประสิทธิภาพในการลากเลื่อนสูงสุด

ในบรรดาสุนัขลากเลื่อนทั้งหมด ทั้งนี้เนื่องจากสุนัขมีน้ำหนักเบา คล่องตัว ว่องไว แข็งแรง

อดทนต่อความหนาวเย็นและความอดอยากในฤดูหนาวได้ดี

รวมทั้งมีความอดทนต่อความเหนื่อยล้าเป็นที่หนึ่ง

จึงทำให้สามารถลากเลื่อนด้วยความเร็วเป็นเวลาติดต่อกันนานๆ ไซบีเรียน ฮัสกี้

เป็นที่รู้จักแพร่หลายในอเมริกา ในปี 1908 เมื่อพ่อค้าขนสัตว์ชาวรัสเซีย ชื่อ วิลเลี่ยม กูแซค

(William Goosak) ได้นำสุนัขฝูงหนึ่งมาจากไซบีเรียเข้ามาในเมืองโนม ในอลาสก้า

และได้นำสุนัขลงแข่งลากเลื่อน จนได้กลายมาเป็นสุนัขลากเลื่อนที่แพร่หลายที่สุด

และได้รับชัยชนะบ่อยครั้งที่สุดในวงการลากเลื่อน

ไทยหลังอาน




สุนัขไทยหลังอานเป็นสุนัขพันธุ์พื้นเมืองที่เก่าแก่ ดังจะเห็นบันทึกอยู่ในเอกสารโบราญที่มีอายุประมาณ 350 ปีที่พบในประเทศไทย ทางภาคตะวันออกของประเทศไทยใช้สุนัขพันธุ์นี้ในการล่าสัตว์ ชาวพื้นเมืองยังใช้ติดตามเกวียนเพื่อคอยระวังภัยอีกด้วย เหตุผลที่สุนัขพันธุ์นี้คงลักษณะดั้งเดิมอยู่ได้นานหลายปีก็เนื่องจากระบบการคมนาคมทางภาคตะวันออกของประเทศไทยไม่ดีพอ การผสมข้ามพันธุ์จึงเป็นไปได้น้อย

ลักษณะทั่วไป : ขนาดปานกลาง มีขนสั้นเป็นรูปอานทอดไปตามหลัง ลำตัวยาวกว่าความสูงที่ไหล่เล็กน้อย กล้ามเนื้อชัดเจน ลักษณะทางกายภาพเหมาะสมกับการล่าสัตว์

ความยาวลำตัว : ความสูงที่ไหล่ = 11 : 10

ความลึกอก : ความสูงที่ไหล่ = 1 : 2

พฤติกรรม/อารมณ์ : แข็งแรง ว่องไว มีความสามารถในการกระโดดเป็นเยี่ยม เป็นสุนัขในครอบครัวที่ซื่อสัตย์

ข้อบกพร่อง : สิ่งที่ผิดไปจากข้อที่กล่าวมาถือเป็นข้อบกพร่อง ระดับความร้ายแรงขึ้นอยู่กับสัดส่วนของความบกพร่องที่ปรากฏ
- การสบของฟันที่ผิดไปจากการสบกันแบบกรรไกร
- อานที่ไม่สมดุล

สุนัขพันธ์ปอมปอม





สุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนี่ยนอยู่ที่ประเทศอังกฤษเริ่มได้รับความนิยมเมื่อปีพ.ศ.2343? สุนัขปอมเมอเรเนี่ยนมีนิสัยค่อนข้างรุนแรง ทำให้สุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนี่ยนเกือบสูญพันธุ์ ในตอนนั้นสมเด็จพระนางเจ้าวิคเตอเรียทรงเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้เอาไว้ ทำให้สุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนี่ยนได้รับความนิยมอีกครั้งแล้วได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ให้สุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนี่ยนนีมีขนาดเล็กลงและพัฒนานิสัยให้มีความอ่อนโยน ไม่ดุร้าย และเป็นที่รักของผู้เลี้ยง



ลักษณะทั่วไป

เมื่อประมาณปีพ.ศ.2443 สุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนี่ยนมีขนาดเล็ก?? มีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ10 ปอนด์ ซึ่งได้มีการพัฒนามาเรื่อยๆจนทำให้ปอมเมอเรเนี่ยนมีน้ำหนักเพียง3 ปอนด์?? แต่ต่อมามีการผสมพันธุ์ของปอมเมอเรเนี่ยนให้มีขนาดพอเหมาะ เพราะจะได้สายพันธุ์ที่น่ารัก และลักษณะที่เล็กสามารถอุ้มได้ถนัด? ?จึงพัฒนาให้มีน้ำหนักประมาณ4-5ปอนด์



อุปนิสัย

สุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนี่ยนมีนิสัยอ่อนโยน เรียบร้อย ค่อนข้างจะขี้อ้อน สุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนี่ยนเป็นสุนัขที่นิยมในแถบประเทศเยอรมัน?? เพราะสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนี่ยนมีลักษณะที่สวยงาม